5.5


แบบการเรียนรู้ (Learning Styles)

      
โลกยุคนี้เป็นยุคของความรู้และข้อมูลข่าวสาร  ผู้ใดมีความรู้และข้อมูลมากกว่าย่อมได้เปรียบกว่า  ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลที่เป็นความรู้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน   และทุก ๆ 5 ปีข้อมูลข่าวสารจะทวีขึ้นเป็น 2 เท่า   นอกจากนี้ยังไม่มีใครสามารถสอนความรู้ที่มีอยู่ในโลกนี้ให้แก่เราได้ทั้งหมด    โรงเรียนจึงควรเตรียมเด็ก ๆ และเยาวชนให้รู้จักแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องด้วยตนเอง   เพื่อมิให้เด็กและเยาวชนเหล่านั้นกลายเป็นคนล้าหลัง และก้าวตามโลกไม่ทันภายหลังจากออกจากโรงเรียนแล้ว   การสอนให้เด็กเรียนรู้วิธีเรียนที่ถูกต้อง (Learn how to learn) จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยครูต้องเข้าใจและตระหนักเป็นอันดับแรกว่า เด็กแต่ละคนมีลีลาหรือรูปแบบการเรียนรู้ไม่เหมือนกัน  ครูที่สามารถรู้ว่าเด็กแต่ละคนในชั้นมีรูปแบบการเรียนรู้เป็นแบบใดจะประสบความสำเร็จในการส่งผ่านความรู้ไปยังนักเรียน  ทำให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างเต็มความสามารถมากที่สุด



นักจิตวิทยาที่ศึกษารูปแบบการเรียนรู้หรือลีลาการเรียนรู้ของมนุษย์ (Learning style) ได้พบว่า  มนุษย์สามารถรับข้อมูลโดยผ่านเส้นทางการรับรู้ 3 ทาง  คือ  การรับรู้ทางสายตาโดยการมองเห็น (Visual  percepters)   การรับรู้ทางโสตประสาทโดยการได้ยิน (Auditory percepters)  และ การรับรู้ทางร่างกายโดยการเคลื่อนไหวและการรู้สึก (Kinesthetic percepters)   ซึ่งสามารถนำมาจัดเป็นลีลาการเรียนรู้ได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ   ผู้เรียนแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันคือ



1)  ผู้ที่เรียนรู้ทางสายตา (Visual learner)   เป็นพวกที่เรียนรู้ได้ดีถ้าเรียนจากรูปภาพ    แผนภูมิ  แผนผังหรือจากเนื้อหาที่เขียนเป็นเรื่องราว   เวลาจะนึกถึงเหตุการณ์ใด ก็จะนึกถึงภาพเหมือนกับเวลาที่ดูภาพยนตร์คือมองเห็นเป็นภาพที่สามารถเคลื่อนไหวบนจอฉายหนังได้  เนื่องจากระบบเก็บความจำได้จัดเก็บสิ่งที่เรียนรู้ไว้เป็นภาพ   ลักษณะของคำพูดที่คนกลุ่มนี้ชอบใช้ เช่น   “ฉันเห็น”  หรือ “ฉันเห็นเป็นภาพ…..”

              พวก Visual learner  จะเรียนได้ดีถ้าครูบรรยายเป็นเรื่องราว  และทำข้อสอบได้ดีถ้าครูออกข้อสอบในลักษณะที่ผูกเป็นเรื่องราว  นักเรียนคนใดที่เป็นนักอ่าน  เวลาอ่านเนื้อหาในตำราเรียนที่ผู้เขียนบรรยายในลักษณะของความรู้   ก็จะนำเรื่องที่อ่านมาผูกโยงเป็นเรื่องราวเพื่อทำให้ตนสามารถจดจำเนื้อหาได้ง่ายขึ้น    เด็ก ๆ ที่เป็น Visual learner  ถ้าได้เรียนเนื้อหาที่ครูนำมาเล่าเป็นเรื่อง ๆ จะนั่งเงียบ สนใจเรียน  และสามารถเขียนผูกโยงเป็นเรื่องราวได้ดี 

              ผู้ที่เรียนได้ดีทางสายตาควรเลือกเรียนทางด้านสถาปัตยกรรม  หรือด้านการออกแบบ   และควรประกอบอาชีพมัณฑนากร  วิศวกร   หรือหมอผ่าตัด

              พวก Visual learner จะพบประมาณ 60-65 % ของประชากรทั้งหมด



2)  ผู้ที่เรียนรู้ทางโสตประสาท (Auditory  Learner)  เป็นพวกที่เรียนรู้ได้ดีที่สุดถ้าได้ฟังหรือได้พูด จะไม่สนใจรูปภาพ ไม่สร้างภาพ  และไม่ผูกเรื่องราวในสมองเป็นภาพเหมือนพวกที่เรียนรู้ทางสายตา   แต่ชอบฟังเรื่องราวซ้ำ ๆ   และชอบเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง   คุณลักษณะพิเศษของคนกลุ่มนี้ ได้แก่ การมีทักษะในการได้ยิน/ได้ฟังที่เหนือกว่าคนอื่น   ดังนั้นจึงสามารถเล่าเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดละออ และรู้จักเลือกใช้คำพูด

ผู้เรียนที่เป็น Auditory learner  จะจดจำความรู้ได้ดีถ้าครูพูดให้ฟัง  หากครูถามให้ตอบ ก็จะสามารถตอบได้ทันที   แต่ถ้าครูมอบหมายให้ไปอ่านตำราล่วงหน้าจะจำไม่ได้จนกว่าจะได้ยินครูอธิบายให้ฟัง เวลาท่องหนังสือก็ต้องอ่านออกเสียงดังๆ    ครูสามารถช่วยเหลือผู้เรียนกลุ่มนี้ได้โดยใช้วิธีสอนแบบอภิปราย  แต่ผู้ที่เรียนทางโสตประสาทก็อาจถูกรบกวนจากเสียงอื่น ๆ จนทำให้เกิดความวอกแวก เสียสมาธิในการฟังได้ง่ายเช่นกัน

ในด้านการคิด มักจะคิดเป็นคำพูด  และชอบพูดว่า  “ฉันได้ยินมาว่า……../ ฉันได้ฟังมาเหมือนกับว่า……”

พวก Auditory learner  จะพบประมาณ 30-35 % ของประชากรทั้งหมด และมักพบในกลุ่มที่เรียนด้านดนตรี  กฎหมายหรือการเมือง  ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเป็นนักดนตรี  พิธีกรทางวิทยุและโทรทัศน์   นักจัดรายการเพลง (disc jockey)    นักจิตวิทยา  นักการเมือง  เป็นต้น



          3)  ผู้ที่เรียนรู้ทางร่างกายและความรู้สึก (Kinesthetic  learner)  เป็นพวกที่เรียนโดยผ่านการรับรู้ทางความรู้สึก การเคลื่อนไหว และร่างกาย  จึงสามารถจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ดีหากได้มีการสัมผัสและเกิดความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งที่เรียน   เวลานั่งในห้องเรียนจะนั่งแบบอยู่ไม่สุข  นั่งไม่ติดที่  ไม่สนใจบทเรียน  และไม่สามารถทำใจให้จดจ่ออยู่กับบทเรียนเป็นเวลานาน ๆ ได้  คือให้นั่งเพ่งมองกระดานตลอดเวลาแบบพวก  Visual learner ไม่ได้   ครูสามารถสังเกตบุคลิกภาพของเด็กที่เป็น Kinesthetic learner  ได้จากคำพูดที่ว่า  “ฉันรู้สึกว่า……”

พวกที่เป็น Kinesthetic learner  จะไม่ค่อยมีโอกาสเป็นพวก Visual learner    จึงเป็นกลุ่มที่มีปัญหามากหากครูผู้สอนให้ออกไปยืนเล่าเรื่องต่าง ๆ หน้าชั้นเรียน   หรือให้รายงานความรู้ที่ต้องนำมาจัดเรียบเรียงใหม่อย่างเป็นระบบระเบียบ  เพราะไม่สามารถจะทำได้    ครูที่ยังนิยมใช้วิธีสอนแบบเก่า ๆ อย่างเช่นใช้วิธีบรรยายตลอดชั่วโมง  จะยิ่งทำให้เด็กเหล่านี้มีปัญหามากขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าความรู้สึกของเด็กเหล่านี้ได้ถูกนำไปผูกโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะสิ่งที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น  ไม่ได้ผูกโยงกับอดีตหรือเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต   ครูจึงควรช่วยเหลือพวก Kinesthetic learner ให้เรียนรู้ได้มากขึ้น  โดยการให้แสดงออกหรือให้ปฏิบัติจริง  เช่น ให้เล่นละคร แสดงบทบาทสมมติ สาธิต ทำการทดลอง  หรือให้พูดประกอบการแสดงท่าทาง  เป็นต้น

พวก Kinesthetic learner  จะพบในประชากรประมาณ 5-10 % เท่านั้น  สาขาวิชาที่เหมาะกับผู้เรียนกลุ่มนี้ได้แก่ วิชาก่อสร้าง  วิชาพลศึกษา  และควรประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับงานก่อสร้างอาคาร  หรืองานด้านกีฬา เช่น เป็นนักกีฬา  หรือประเภทที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์   งานที่ต้องมีการเต้น   การรำ  และการเคลื่อนไหว

                      

            การแบ่งลีลาการเรียนรู้ออกเป็น 3 ประเภทดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  เป็นการแบ่งโดยพิจารณาจากช่องทางในการรับรู้ข้อมูล ซึ่งมีอยู่ 3 ช่องทาง ได้แก่ ทางตา ทางหู และทางร่างกาย   แต่หากนำสภาวะของบุคคลในขณะที่รับรู้ข้อมูลซึ่งมีอยู่ 3 สภาวะคือ สภาวะของจิตสำนึก (Conscious)  จิตใต้สำนึก (Subconscious)  และจิตไร้สำนึก (Unconscious)   เข้าไปร่วมพิจารณาด้วย แล้วนำองค์ประกอบทั้ง 2 ด้านคือ องค์ประกอบด้านช่องทางการรับข้อมูล (Perceptual pathways)  กับองค์ประกอบด้านสภาวะของบุคคลขณะที่รับรู้ข้อมูล (States of consciousness) มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน   จะสามารถแบ่งลีลาการเรียนรู้ออกได้ถึง 6 แบบ   คือ

             1)  ประเภท V-A-K   เป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ดีที่สุดหากได้อ่านและได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผู้อื่นฟัง  เป็นเด็กดีที่ขยันเรียนหนังสือ แต่ไม่ชอบเล่นกีฬา

             2)  ประเภท V-K-A  เป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ดีที่สุดหากได้ลงมือปฏิบัติตามแบบอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า และได้ตั้งคำถามถามไปเรื่อย ๆ  โดยปกติจะชอบทำงานเป็นกลุ่ม

             3)  ประเภท A-K-V  เป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ดีที่สุดหากได้สอนคนอื่น  ชอบขยายความเวลาเล่าเรื่อง   แต่มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านและการเขียน

             4)  ประเภท A-V-K   เป็นผู้ที่มีความสามารถในการเจรจาติดต่อสื่อสารกับคนอื่น  พูดได้ชัดถ้อยชัดคำ    พูดจามีเหตุมีผล   รักความจริง  ชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ และวิชาที่ต้องใช้ความคิดทุกประเภท  เวลาเรียนจะพยายามพูดเพื่อให้ตนเองเกิดความเข้าใจ  ไม่ชอบเรียนกีฬา

            5) ประเภท K-V-A   เป็นผู้ที่เรียนได้ดีที่สุดหากได้ทำงานที่ใช้ความคิดในสถานที่เงียบสงบ  สามารถทำงานที่ต้องใช้กำลังกายได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องให้ครูคอยบอก  หากฟังครูพูดมาก ๆ อาจเกิดความสับสนได้

              6)  ประเภท K-A-V  เป็นผู้ที่เรียนได้ดีหากได้เคลื่อนไหวร่างกายไปด้วย  เป็นพวกที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง  จึงถูกให้ฉายาว่าเป็นเด็กอยู่ไม่สุข  มักมีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านและการเขียน

 

ตัวอย่างเช่น   ผู้ที่เป็น Visual learner (V) ในสภาวะของจิตสำนึก   เป็น Kinesthetic learner  (K) ในสภาวะของจิตใต้สำนึก   และเป็น Auditory learner (A) ในสภาวะของจิตไร้สำนึก  จะมีลีลาการเรียนรู้เป็นประเภท V-K-A     เวลเดน (Whelden)  นักจิตบำบัดและผู้ให้คำปรึกษาในโรงเรียนกล่าวว่า  ส่วนใหญ่แล้วพวกเราทุกคนจะมีลีลาการเรียนรู้เฉพาะตัวเป็นแบบใดแบบหนึ่งใน แบบนี้เสมอ  โดยลีลาการเรียนรู้เหล่านี้จะถูกกำหนดเป็นแบบแผนที่ตายตัวเมื่ออายุประมาณ 7 ขวบ  แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในเด็กบางคนซึ่งก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก 



การที่ครูได้รู้ว่าเด็กในชั้นเรียนมีลีลาการเรียนรู้เป็นแบบใด  จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการจัดสภาพการเรียนการสอน  และยังช่วยให้ครู :-

Ø  สามารถช่วยเหลือเด็กให้รู้จักคิดและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้ดีที่สุดเท่าที่เด็กจะสามารถทำได้เข้าใจพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กที่ไม่เหมือนกัน

Ø    เข้าใจปัญหาที่เกิดจากการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน



ตัวอย่างเช่น เด็กที่เป็น Auditory learner  จะมีปัญหาคือพูดมากที่สุดและมีปัญหาเกี่ยวกับการเขียนมากที่สุด  เพราะฉะนั้นข้อสอบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (โดยเฉพาะข้อสอบอัตนัย) จึงเกิดปัญหามากที่สุดกับนักเรียนที่เป็น Auditory learner  กับ  Kinesthetic learner   แต่จะไม่เป็นปัญหากับนักเรียนที่เป็น Visual learner เนื่องจากนักเรียนกลุ่มหลังนี้สามารถเรียนรู้ได้ดีถ้าครูสอนแบบบรรยาย และสามารถทำข้อสอบประเภทที่สอบวัดความจำได้ดีด้วย


การสำรวจลีลาการเรียนรู้

แม้ว่าการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ในชั้นเรียน  การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง หรือการศึกษาจากผลการเรียนรู้ในรายวิชาต่าง ๆ ของนักเรียน จะเป็นวิธีการทั่วไปที่ครูสามารถนำมาใช้พิจารณาถึงลีลาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้  แต่การใช้แบบสำรวจต่อไปนี้ก็อาจช่วยให้ครูค้นหาลีลาการเรียนรู้ได้อีกวิธีหนึ่ง 

อ้างอิง  http://portal.edu.chula.ac.th/girl/blog/view.php?Bid=1245038152800790

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น